หลังจากเริ่มใช้รถมาตั้งแต่ปี 2003 รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาค่อนข้างสูง แต่จากที่ใช้งานมา ส่วนใหญ่จะเกิดมาจากการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ประกอบกับอู่หรือช่างเองขาดความชำนาญ ผมเคยลองเข้ามาหลายอู่แล้ว ส่วนศูนย์บริการนี่ผมให้เครดิตเข้าครั้งแรกยังไม่ได้เรื่อง เลยอยากให้คนที่กำลังคิดจะซื้อรถ ได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการเลือกดูรถมือสอง หรือรถยนต์ใช้แล้ว คงมีคนเขียนเรื่องนี้เยอะแล้ว แต่ไม่เป็นไรเอาประสบการ์ช่วงสั้นๆของผม 7 ปี ไปเพิ่มเติมเพื่อจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ก่อนอื่นเราต้องขอดูหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับตัวรถก่อน ถ้ามีประวัติการซ่อมด้วยก็ดี
- ดูพวกยางขอบประตูหน้าต่างก่อนเลยครับ แข็งไปหรือเปล่า ถ้าแข็งอาจเป็นเพราะเจ้าของเดิมอาจจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน พวกนี้ไม่มีผลต่อประสิทธิภาพเครื่อง แต่เพื่อความสวยงาม แถมอะไหล่มีราคาค่อนข้างแพง หากต้องการเปลี่ยน
- เปิดฝากระโปรงหลังดู เปิดดูที่ใส่ยางอะไหล่ ดูว่าปกติหรือเปล่า บางทีมันอาจมีน้ำรั่วลงมาขัง ทำให้ผุก่อนเวลาอันควรได้ ดูไปถึงบริเวณไฟท้ายด้วยว่า ดูว่าตัวถังมามีรอยยุบเข้ามาหรือเปล่า เพราะดูที่กันชนจะดูปกติ
- ตรวจสอบดูพวกยางหุ้มเพลาด้านหน้า 2 ข้าง มีทั้งหมด 4 ชี้น บางที่ก้มดูอาจไม่เห็น ดูว่าขาดหรือเปล่า แต่ถ้าพวกนี้เปลี่ยนทั้งชุดอย่างดีเลยอยู่ประมาณ 5,000 บาท
- ตรวจดูยางหุ้มแร็กพวงมาลัย เป็นตัวบังคับเลี้ยว เป็นยางเหมือนกันมี 2 ชิ้น ดูว่าไม่มีน้ำมันรั่มซึมหรือไหลออกมา
- จากนั้นดูพวกลูกมาก บนและล่าง จะมีทั้งหน้าและหลัง ข้างละ 2 ลูก รวม 8 ลูก ดูว่ายางหุ้มขาดหรือเปล่า มีจารบีไหลออกมาหรือเปล่า
- ดูพวกบูทยางที่อยู่ตามข้อต่อต่างๆ อย่างเช่นพวกปีกนก ทั้ง 4 ล้อ บูชยางเหล็กกันโครง ก็ว่ามีการฉีกขาด บิดเบี้ยวผิดรูปมากเกินไปหรือเปล่า
- จากนั้นเปิดฝากระโปรงหน้า ดูสภาพห้องเครื่อง ดูท่อหม้อน้ำเส้นใหญ่ๆบนล่าง บีบดูไม่ควรแข็งจนเกินไป ไล่ดูท่อน้ำเส้นเล็กๆด้วยจับๆดู ว่ามีสภาพแข็งไปหรือไป ดูการแตกรอยงา มีปริแตกหรือยัง สังเกตุจากร่องรอยของน้ำยาหล่อเย็น รถที่ระบบหล่อเย็น ส่วนใหญ่จะมีน้ำยาหล่อเย็นอยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ ถ้าไม่มีใส่เป็นน้ำธรรมดาแทน แสดงว่ามีการรั่วของน้ำยา เจ้าของจึงต้องเติมบ่อย บ่อยจนไม่อยากใช้น้ำยาหล่อเย็นแล้ว เลยใช้น้ำเปล่าแทน ซึ่งจะทำให้เครื่องมีตะกรั่นมาก
- เปิดฝาหม้อน้ำดู (ตอนเครื่องยนต์เย็นอยู่นะ ไม่ต้องสตาร์ท) ดูสภาพรอบๆคอหม้อน้ำ มีปริมาณน้ำปกติหรือเปล่า มีคราบน้ำมันปนอยู่หรือเปล่า ถ้ามีแสดงว่าประเก็นฝาสูบเริ่มรั่วแล้ว
- ดูครีบระบายความร้อนของหม้อน้ำ มีการซึมหรือเปล่า สังเกตุจากคราบของน้ำยาหล่อเย็น
- ดูในส่วนของเครื่องยนต์ การรั่วซึมของน้ำมันเครื่องบริเวณปะเก็นอ่างน้ำมันเครื่องด้านล่าง
- ดูสภาพแผงระบายความร้อนของระบบแอร์ มีน้ำรั่วซึมหรือเปล่า ตรงบริเวณขั้วต่อของแผงระบายความร้อน
- ดูสภาพยางรองแท่นเครื่องทั้งหมด ต้องไม่แข็งไป หรือเกิดการฉีกขาด
- ก้มดูท่อไอเสีย หม้อพักกลาง หม้อพักหลัง ว่ามีรอยรั่วผุหรือเปล่า ดูย้ำอีกครั้งตอนติดเครื่องแล้ว โดยสังเกตจากเสียงและก้ควันที่ออกมา
ฟังเสียงเครื่องยนต์ กับช่วงล่าง
- จากนั้นขอให้ทำการติดเครื่องดู ถ้าเป็นไปได้ให้เริ่มติดเครื่องดูตอนที่เครื่องยังเย็นอยู่จริงๆ เหมือนตอนเราจอดทิ้งไว้ข้ามคืน
- สังเกตตอนสตาร์ท ต้องทีเดียวติด ถ้าไมแสดงว่าระบบไฟเริ่มมีปญหา อาทิเช่น มอเตอร์สคาร์ท ตัวจานจ่าย หัวเทียน จะต้องไม่ แชะๆๆๆๆ คริๆๆๆๆ บรื้น.... นั้นแสดงว่าการตั้งไฟจุดระเบิดปกติ ลูกสูบมีการเรียงตัวอยู่ในตำแหน่งที่ดี จากการดับเครื่องครั้งหลังสุด ไม่รวมตอนใช้แก๊สระบบดูดนะ
- รถรุ่นเก่าๆส่วนใหญ่จะมีการเร่งรอบเครื่องตอนเครื่องเย็นเอง ดูระดับความเร็วรอบว่าอยู่ที่เท่าไร จากนั้นดูระดับความร้อนที่มิเตอร์ ว่าใช้เวลากี่นาทีที่เข็มความร้อนจะขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ ซึ่งจะเป็นเวลาเดียวกับที่เข็มความเร็วรอบลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 900-1000 รอบเช่นกัน
- ระหว่างที่รอเครื่องยนต์ร้อนเต็มที่ ให้ฟังเสียงสายพานหน้าเครื่อง สายพานแอร์ สายพานปั๊มพวงมาลัยเพาเวอร์ จะต้องเงียบไม่หอน ไม่ดังจนเกินไป พวกนี้ถ้าเก่าตอนเครื่องเย็นจะดังมาก พอขับไปซักพักมันเรื่มร้อนจึงนิ่ม จึงทำให้เสียงดังลดลง
- เดินดูไปรอบๆห้องเครื่อง ฟังเสียงเครื่องยนต์ดูว่าดังไปหรือเปล่า มีเสียงแปกปลอมมาจากตำแหน่งอื่นหรือเปล่า
- หรืออาจลองเข้าไปนั่งเข้าเกียร์ไปมาดู ไล่เข้าทุกเกียร์ว่าเข้าได้หรือเปล่า
- หลังจากเครื่องยนต์ร้อนได้ที่รอบจะตกลงมาอย่างที่บอกข้างต้น แล้วพัดลมไฟฟ้าที่ระบายความร้อนหม้อน้ำเครื่องจะเริ่มทำงานเองอัตโนมัติ (สำหรับดดย่สวนใหญ่) แสดงว่าเครื่องทำงานปกติ โดยแอร์ยังไม่ต้องเปิดนะ
- ทำการเช็ตแม่ปั๊มเบรคกับหม้อลมโดยเหยีบย้ำจนคันเบรคเริ่มแข็ง จากนั้นให้เหยียบค้างไว้ แล้วทำการดับเครื่องยนต์ คันเบรคจะต้องขยับลงไปได้อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- พอดับเครื่องแล้วให้ย้ำคันเบรคดูมันจะต้องค่อยๆแข็งขึ้นเช่นกัน จากนั้นเหยียบค้างไว้อีกครั้ง แล้วทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ คันเบรคจะจมลงไปได้อีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- ถ้าเป็นที่กว้างๆ ให้หักซ้ายสุดหรือหักขวาสุด แล้วค่อยออกตัวไปช้าๆ ถ้ามีเสียแก็กๆ ตลอด ก็แสดงว่าเพลาขับเริ่มมีปัญหา
- จากนั้นลองหยุดแล้วเข้าเกียร์ D ไว้สำหรับรถเกียร์ Auto แล้วให้ดึงเบรคมือให้สุด ไม่ต้องเหยียบคันเร่ง รถจะต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า แสดงว่าเบรคมือถูกตั้งไว้อย่างถูกต้อง และรอบเครื่องตั้งอยู่ที่ระดับปกติ
- อย่าลืมทดลองเปิดแอร์ดู แอร์รถถ้าเย็นจริงเปิดสุดเอามือวางบริเวณช่องแอร์ ต้องมีชา รอบเครื่องต้องไม่แกว่งมากตอนที่ Com แอร์ตัดต่อ
- จากนั้นเข้าเกียร์ว่าง N ให้เร่งรอบเครื่องสูงๆดู เอาซัก 3,000 รอบ ปกติที่ 3,000 ถ้าเราวิ่งจะได้ความเร็วประมาณ 120 km/hr แต่อย่าเร่งมากเดี่ยวเจ้าของถีบออกจากรถ จากนั้นดูเข็มความร้อนว่าปกติหรือเปล่า โดยเข็มจเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่าันั้น หรือต้องไม่ขับขึ้นเลย นั้นแสดงว่าการระบายความร้อนปกติ
ดูระบไฟของรถ
- ตรวจสอบดูการทำงานของไฟต่างๆ ไฟหน้า ไฟเบรค ไฟเลี้ยว ไฟสูง-ต่ำ ไฟเพดาน ทุกอย่างต้องทำงานอย่างถูกต้อง ถ้าไม่แสดงว่าอาจเกิดการลัดวงจรเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายกับกล่องควบคุมต่างๆได้
- เปิดกล่องฟิวส์ใต้ฝากระโปรงดู กล่องฟิวส์ในห้องโดยสารด้วย มีไฟฉายส่องด้วยก็ดี ต้องมีสภาพปกติ ไม่มีการดัดแปลงอุปกรณ์มี่ไม่ตรงรุ่นเข้าไป
ทดลองขับบนสภาวะจริงบนท้องถนน
- ก่อนออกก็ลองเร่งดูแล้วเบรคกระทันหันดูเสียก่อน ว่าระยะเบรคมันปกติดีหรือเปล่า จากนั้นก็เปิดแอร์ขับปกติ ลองดูอัตราเร่งดูว่า เร่งได้ปกติหรือเปล่า
- ทดลองทำการ Kickdown ดูสำหรับเกียร์ Auto ว่า้เกียร์ทำงานปกติหรือเปล่า
- ถ้าเป็นไปได้ลองขับในสภาวะที่มีการจราจรติดขัด ตอนกลางวันก็ดี ดูว่ามันจะ Heat หรือเปล่า
- หลังจากนั้นก็กลับมาจอดรถ เปิดฝากระโปรงดูระดับของเหลวต่างๆ อาทิเช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ ระดับน้ำหล่อเย็น น้ำมันเบรค น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ถ้าเป็นไปได้รอเครื่องเย็นแล้วเปิดฝาหม้อน้ำดูอีกทีก็จะเป็นการดี
ตอนนี้นึกได้เท่านี้จากนั้นก็ไปวัดดวงกันเอาเองละกัน